ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายๆท่านจะได้ประสบกับปัญหาเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีปัญหาต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย ยิ่งถ้าหากใครที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ อาทิเช่น โรคภูมิแพ้ก็จะยิ่งมีอาการที่ค่อนข้างรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะมีน้ำมูกหรืออาการคันตาซึ่งการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ดังนั้นอีกหนึ่งทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อกรองอากาศภายในบ้านให้ได้อากาศที่บริสุทธิ์ โดยเราจะพาไปดูกันว่าจะมี เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนที่น่าซื้อมาใช้งานบ้าง
10 อันดับเครื่องฟอกอากาศ
- 1. โดยรวมดีที่สุด: PHILIPS Air Purifier Lazada/Shopee
- 2. งบประมาณที่ดีที่สุด: Levoit Air Purifier Core Mini Lazada/Shopee
- 3.ดีที่สุดสำหรับโรคภูมิแพ้: Philips Air Purifier series 2000i Lazada/Shopee
- 4. อัจฉริยะที่ดีที่สุด: xiaomi Air Purifier Pro H Lazada/Shopee
- 5.ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดใหญ่: Philips Air Purifier Lazada/Shopee
- 6. ที่ดีที่สุดสำหรับห้องนอน: PHILIPS Air Purifier Lazada/Shopee
- 7. ดีที่สุดสำหรับการกำจัดฝุ่น: MITSUTA MAP450 Lazada/Shopee
- 8. ขนาดเล็กที่ดีที่สุด: TCL Breeva A1 Lazada/Shopee
- 9. ในรถยนต์ที่ดีที่สุด: Sharp High Density IG-GC2B Lazada/Shopee
- 10. ที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง: Maddie LED LI0274 Lazada/Shopee
- ลองดูเครื่องปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดีจะซื้อในปีนี้
- เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรารีวิวเทคโนโลยีที่น่าใช้ในตอนนี้
แนะนำแบรนด์เครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุด: 10 อันดับสูงสุดสำหรับปี 2024
1. PHILIPS Air Purifier – AC1215/20
เครื่องฟอกอากาศ โดยรวมดีที่สุด
- ใช้ได้ในห้องขนาด 21-63 ตารางเมตร
- ขจัดไวรัสและฝุ่นละอางได้ 99.99%
- กำจัดอนุภาพขนาดเล็ก 0.02um ได้
- มีระบบ UI ใช้งานได้ง่าย
- ไม่สามารถตั้งเวลาเปิดปิดแบบอัตโนมัติได้
สำหรับเครื่องที่คุณสมบัติโดยรวมดีที่สุดต้องของยี่ห้อ PHILIPS รุ่น AC1215/20 โดยถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานในห้องที่มีขนาด 21-63 ตารางเมตร ซึ่งเป็นรุ่นที่สามารถกำจัดอนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กได้ถึง 0.02um เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถขจัดไวรัสและฝุ่นละอองที่ลอยมาตามอากาศได้สูงสุดถึง 99.99% อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการใช้งานที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย
มีทั้งโหมดที่ฟอกอากาศได้แบบอัตโนมัติที่ช่วยตรวจจับค่า PM2.5 และค่าฝุ่นต่างๆเพื่อปรับการใช้งานให้เหมาะสมกับปัญหาในช่วงเวลานั้นและเร่งความเร็วเพื่อกำจัดมลพิษภายในห้อง อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดที่ใช้งานยามค่ำคืนที่ใช้เสียงเงียบไม่ส่งเสียงรบกวนเวลานอน และมีระบบแจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอกเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีระบบ UI ที่สามารถสัมผัสหน้าจอแสดงผลได้และมีระบบล็อคป้องกันการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าโดยไม่ตั้งใจ
2. Levoit Air Purifier – Core Mini
เครื่องฟอกอากาศ งบประมาณที่ดีที่สุด
- มีโหมดเสียงเงียบไม่รบกวนเวลาพักผ่อน
- ใช้งานได้ 2 รูปแบบ ทั้งเป็นเครื่องกรองอากาศและเครื่องพ่นอโรม่า
- ดีไซน์สวยงามเข้าได้กับทุกพื้นที่
- ไม่สามารถควบคุมการใช้งานผ่านมือถือได้
สำหรับยี่ห้อ Levoit รุ่น Core Mini เป็นเครื่องกรองอากาศที่มาในงบประมาณที่ประหยัดเป็นอย่างมากโดยมาพร้อมกับการเหมาะสมการกรองอากาศภายในห้องที่มีขนาดประมาณ 17 ตารางเมตร อีกทั้งยังมาพร้อมกับการทำงานที่มีเสียงเงียบแค่แค่เพียง 25dB ซึ่งมีเสียงที่ค่อนข้างเบาไม่รบกวนการพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งยังมีระบบการทำงาน 2 รูปแบบ คือ กรองอากาศและเครื่องพ่นไอน้ำกลิ่นอโรม่าที่สร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
โดยถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดเล็กแต่ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีกรองอากาศบริสุทธิ์ภายในห้องได้อย่างรวดเร็วเหมาะสำหรับการใช้งานในห้องนอนหรือการวางไว้ด้านข้างเวลาทำงานเป็นอย่างมาก โดยมาพร้อมกับการควบคุมการสั่งงานที่ไม่ยุ่งยากเพียงแค่กดปุ่มเดียวก็สามารถควบคุมการทำงานทั้งหมดของตัวเครื่องได้แล้ว ดีไซน์ของตัวเครื่องเรียบง่ายด้วยสีขาวทำให้ดูคลาสสิกและเข้ากับได้ทุกพื้นที่
3. Philips Air Purifier – series 2000i AC2958/23
เครื่องฟอกอากาศ ดีที่สุดสำหรับโรคภูมิแพ้
- กรองฝุ่นละอางและไวรัสต่างๆได้เป็นอย่างดี
- ขจัดสารก่อภูมิแพ้ต่างๆได้ 99.97%
- ควบคุมการทำงานผ่านแอพพลิเคชั่นได้
- ใช้งานในห้องขนาดสูงสุด 98 ตารางเมตร
- ราคาค่อนข้างสูง
สำหรับใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ เครื่องฟอกของแบรนด์ Philips รุ่น 2000i AC2958/23 เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับการกรองฝุ่นละอองและไวรัสได้เป็นอย่างดีโดยมีอนุภาคในการกรองได้ถึง 0.003 ทำให้กรองได้ทั้งฝุ่น PM2.5 และสามารถกรองไวรัสต่างๆได้อีกด้วย รองรับการใช้งานในห้องที่มีขนาดสูงสุดถึง 98 ตารางเมตร มีเซนเซอร์ที่แสดงผลสภาพฝุ่นอย่างเรียลไทม์ซึ่งจะแสดงทั้งรูปแบบสีและตัวเลขเพื่อเป็นการรายงานผล
สามารถควบคุมการสั่งงานทั้งหมดได้ผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เพียงแค่ทำการเชื่อมต่อ WiFi เท่านั้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบการฟอกอากาศแบบอัตโนมัติที่สามารถประเมินการทำงานได้ด้วยตนเองเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในเวลานั้น มีระบบที่เปลี่ยนระดับความสว่างของตัวเครื่องได้ตามความสว่างภายในห้องทำให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย และสามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้ต่างๆได้สูงถึง 99.97%อีกด้วย ที่สำคัญคือโหมดทำงานในช่วงเวลากลางคืน
4. xiaomi Air Purifier – Pro H
เครื่องฟอกอากาศ อัจฉริยะที่ดีที่สุด
- สั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้
- โหมดการทำงาน 3 แบบ
- กรองอากาศในพื้นที่ที่มีความกว้างสูงสุด 72 ตารางเมตร
- ตัวเครื่องขนาดใหญ่ใช้พื้นที่ในการวางเยอะ
ถ้าหากให้ แนะ นํา เครื่อง ฟอก อากาศ ที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะที่ดีที่สุดต้องเป็นของแบรนด์ xiaomi รุ่น Pro H โดยเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับตัวเครื่องขนาดใหญ่ใช้งานในพื้นที่ได้กว้างถึง 72 ตารางเมตร ที่สำคัญยังมีอัตราในการผลิตอากาศบริสุทธิต่อชั่วโมงที่สูงถึง 600 ลูกบาศก์เมตร โดยเป็นรุ่นที่ให้ไส้กรองแบบ 3 ชั้นทำให้สามารถกรองฝุ่นละออง เชื้อไวรัส และไรฝุ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถกรองฝุ่นที่มีอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนได้มากถึง 99.97%
สำหรับรุ่นนี้จะสามารถควบคุมการทำงานได้ผ่านแอพพลิเคชั่นซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ทำการเชื่อมต่อ Wi Fi เท่านั้นรองรับการเข้าใช้งานผ่านทั้งระบบปฏิบัติการ Android และระบบปฏิบัติการ iOS หน้าจอเป็นแบบสัมผัสที่ใช้จอแบบ OLED ฟังก์ชั่นของตัวเครื่องจะมีให้เลือกหลากหลายทั้งตัวแสดงคุณภาพอากาศที่ใช้การแสดงผลเป็นสีต่างๆ และมีโหมดการทำงาน 3 โหมดเลยทีเดียว ได้แก่ โหมดกลางคืน โหมดกำหนดเอง และโหมดอัตโนมัติ
5. Philips Air Purifier – AC3854/25
เครื่องฟอกอากาศ ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดใหญ่
- ใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ถึง 158 ตารางเมตร
- แผ่นกรองแบบ 3 ชั้น
- สามารถกรองฝุ่น ไวรัส ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ และสเปอร์เชื้อรา
- หน้าจอแบบสัมผัสใช้งานง่าย
- รองรับการสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่น
- ราคาค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเครื่องแบรนด์ Philips รุ่น AC3854/25 ก็คือการใช้งานกรองอากาศในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ได้มีขนาดในการกรองอากาศสูงสุดถึง 158 ตารางเมตรเลยทีเดียว โดยเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะมาช่วยลดสารก่อภูมิแพ้และจัดการปัญหาอากาศที่เป็นมลพิษต่อร่างกาย มีแผ่นกรองแบบ 3 ชั้นที่กรองฝุ่นได้ละเอียดถึง 0.003 ไมครอน ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับปัญหา PM 2.5 ก็สามารถจัดการได้อย่างอยู่หมัดหรือจะเป็นไวรัสที่มีขนาดเล็กกว่าก็สามารถกรองได้
นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องโรคภูมิแพ้ต่างๆได้เป็นอย่างดีเพราะสามารถกรองไรฝุ่น เกสรดอกไม้และสเปอร์เชื้อราได้ รูปทรงของตัวเครื่องมาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูทันสมัยเข้าได้กับทุกพื้นที่ หน้าจอสั่งงานเป็นแบบสัมผัสใช้งานได้ง่าย ปรับโหมดการทำงานได้ 3 รูปแบบ คือ เทอร์โบ อัตโนมัติ และโหมดนอนหลับ และเป็นรุ่นที่สามารถสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย
6. PHILIPS Air Purifier – AC0820/20
เครื่องฟอกอากาศ ที่ดีที่สุดสำหรับห้องนอน
- เหมาะแก่การใช้งานในพื้นที่ 16-49 ตารางเมตร
- เทคโนโลยี Vita Shield OPS
- น้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายได้ง่าย
- CADR 190 ลบ.ม./ชม.
- ไม่รองรับการสั่งงานผ่านมือถือ
จากหลายๆบทความเกี่ยวกับเครื่อง ฟอก อากาศ รีวิว ได้มีการแนะนำเครื่องฟอกที่ดีที่สุดในการใช้งานในห้องนอนเอาไว้ว่าของแบรนด์ Philips รุ่น AC0820/20 เป็นรุ่นที่คุณสมบัติจัดเต็มเป็นอย่างมาก โดยเหมาะแก่การใช้งานในพื้นที่ขนาดตั้งแต่ 16 – 49 ตารางเมตร มาพร้อมกับเทคโนโลยี Vita Shield OPS ที่สามารถกรองฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 0.003 ไมครอนได้ อีกทั้งยังกรอง PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบันได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจะเป็นไวรัสหรือแบคทีเรียเครื่องนี้ก็เอาอยู่อย่างแน่นอน
โดยมาพร้อมกับตัวเครื่องที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีอัตราส่งผ่านอากาศบริสุทธิอยู่ที่ 190 ลูกบาศก์/ชั่วโมง เป็นเครื่องที่ใช้งานได้ไม่ยากเพียงแค่กดปุ่มควบคุมที่อยู่ด้านบนก็สามารถสั่งงานได้ภายในปุ่มเดียว มีโหมดการนอนที่จะลดแสงและลดเสียงในการทำงาน ใช้ระบบหมุนเวียนอากาศแบบ 3 มิติทำให้สามารถกรองอากาศได้อย่างรวดเร็ว
7. MITSUTA – MAP450
เครื่องฟอกอากาศ ดีที่สุดสำหรับการกำจัดฝุ่น
- กรองอากาศได้ 6 ขั้นตอน
- กรองฝุ่นละออง ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้
- มีโหมดสำหรับการนอนหลับ
- ฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว CADR 218 ลบ.ม./ชม.
- ไม่สามารถสั่งงานผ่านมือถือได้
แนะ นํา เครื่อง ฟอก อากาศ สำหรับการกำจัดฝุ่นต่างๆได้ดีที่สุดต้องเป็นแบรนด์ MITSUTA รุ่น MAP450 โดยเป็นรุ่นที่สามารถกรองฝุ่นละอางขนาดเล็กได้ทั้งเชื้อไวรัส ฝุ่น สารก่อภูมิแพ้และแบคทีเรียต่างๆ ตัวเครื่องถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ดีไซน์สวยงามดูทันสมัย อีกทั้งยังใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงคงทนต่อการใช้งาน ที่สำคัญเป็นรุ่นที่สามารถกรองอากาศได้ 6 ขั้นตอนเลยทีเดียว มาพร้อมกับการออกแบบอย่างทันสมัยกับจอแบบสัมผัส
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมดที่เหมาะแก่การนอนเพราะไร้เสียงรบกวนอีกด้วยและมาพร้อมกับการตั้งเวลาเปิดและปิดได้แบบอัตโนมัติ โดยเหมาะแกการใช้จ่ายในห้องที่มีขนาดตั้งแต่ 10-30 ตารางเมตร สามารถฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว CADR 218 ลูกบาศ์เมตรต่อชั่วโมง เป็นรุ่นที่ใช้กำลังไฟน้อยช่วยเรื่องการประหยัดไฟได้เป็นอย่างดี ตัวเครื่องมีฟีเจอร์เสริมอย่างหลากหลายทั้งการปรับระดับความแรงของพัดลมกรองอากาศ
8. TCL – Breeva A1
เครื่องฟอกอากาศ ขนาดเล็กที่ดีที่สุด
- เหมาะแก่การใช้งานในพื้นที่ขนาด 15 ตารางเมตร
- ไส้กรองแบบ 3 ชั้น
- กำจัดฝุ่นละออง ละอองเกสร ฝุ่น PM 2.5 และสารก่อภูมิแพ้
- โหมดการนอนที่ทำงานเสียงเงียบ
- สร้างอากาศบริสุทธิ์ 120 ลบ.ม. ต่อ ชม.
- ปุ่มกดอยู่ด้านหน้าตัวเครื่องกดค่อนข้างยาก
TCL รุ่น Breeva A1 เป็นเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กที่ดีที่สุดซึ่งมาพร้อมกับความสามารถในการกรองอากาศบริเวณ 15 ตารางเมตร โดยมาพร้อมกับไส้กรอกแบบ 3 ชั้นที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้มากถึง 99.97% อีกทั้งยังสามารถกรองอนุภาคที่มีขนาด 0.3 ไมครอนได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอนุภาพที่มีขนาดเล็กมากอย่างละอองเกสร และฝุ่น PM 2.5 มีโหมดการนอนหลับที่จะใช้เสียงในการทำงานแค่เพียง 20 เดซิเบล
อีกทั้งตัวเครื่องยังสามารถปรับความแรงของพัดลมได้ถึง 3 ระดับ และยังสามารถปรับเปลี่ยนสีของแสงไฟตัวเครื่องได้ตามอารมณ์ที่ต้องการอีกด้วยซึ่งจะสร้างความผ่อนคลาย การควบคุมสามารถทำได้อย่างง่ายดายมีปุ่มที่กดการตั้งค่าต่างๆได้อย่างชัดเจน อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์อยู่ที่ 120 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และมีระบบล็อตตัวเครื่องด้วย
9. Sharp High Density – IG-GC2B
เครื่องฟอกอากาศ ในรถยนต์ที่ดีที่สุด
- น้ำหนักเบา 260 กรัม พกพาได้อย่างสะดวกสบาย
- โปรแกรมเปิดปิดการทำงานแบบอัตโนมัติ
- มีสีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีทอง สีชมพู และสีดำ
- กำจัดเชื้อไวรัส ฝุ่นละออง และเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้
- ปรับระดับความแรงของเครื่องฟอกอากาศได้
- มีโหมดในการใช้งานน้อย
สำหรับ Sharp High Density รุ่น IG-GC2B เป็นรุ่นที่เหมาะแก่การใช้งานในพื้นที่ขนาด 3.6 ตารางเมตร โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูหรูหราและทันสมัยเป็นอย่างมากมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีดำ สีทอง และสีชมพู ซึ่งเป็นเครื่องฟอกอากาศภายในรถที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสและฝุ่นละอองต่างๆ เป็นรุ่นที่มีการใช้เทคโนโลยีพ่นอนุภาคไฟฟ้าพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้นที่สามารถขจัดเชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมในการปิดการทำงานแบบอัตโนมัติหลังจากใช้งานครบระยะเวลา 8 ชั่วโมง ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 260 กรัมสามารถเคลื่อนย้ายพกพาได้อย่างสะดวกสบาย สามาถปรับระดับความแรงของการฟอกอากาศได้ 3 ระดับ คือ ระดับแรง ระดับปานกลาง และระดับเบา และได้มีการผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถทำลายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้อีกด้วย
10. Maddie – LED LI0274
เครื่องฟอกอากาศ ที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง
- สามารถกรองอากาศ กรอองฝุ่น และกำจัดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์
- มีโหมดการทำงานให้เลือกทั้งหมด 4 โหมด
- ตัวเครื่องดีไซน์ดูทันสมัย
- หน้าจอสัมผัสแบบ LED สั่งงานได้ง่าย
- ระบบฟอกอากาศแบบอัตโนมัติ
- เคลื่อนย้ายค่อนข้างยาก
Maddie LED รุ่น LI0274 เป็นเครื่องฟอกที่ผลิตออกมาสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยสามารถกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อไวรัสต่างๆได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบ LED ทำให้สามารถสั่งงานได้อย่างง่ายดาย ตัวเครื่องมีดีไซน์ดูทันสมัยสามารถติดตั้งตามพื้นที่ต่างๆได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการทำงานที่มีให้เลือกมากถึง 4 โหมดอีกด้วย คือ โหมดที่ใช้ในห้องสัตว์เลี้ยง โหมดใช้ในห้องครัว โหมดใช้ในห้องนอน และโหมดที่ใช้ในห้องนั่งเล่น
เป็นรุ่นที่ใช้ระบบการฟอกอากาศแบบอัตโนมัติอีกทั้งยังมีการออกแบบมาเพื่อไม่ส่งเสียงรบกวนจึงมีเสียงที่เบาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นเครื่องฟอกที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีเหมาะสมสำหรับการใช้งานภายในบ้านที่เลี้ยงสัตว์เพราะสามารถใช้งานทั้งเรื่องของกรองอากาศ กรองฝุ่น อีกทั้งยังกำจัดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ต่างๆได้อีกด้วย
คำแนะนำในการซื้อเครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างไร
หลังจากที่เราไปดูว่า เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี กันมาแล้ว เราจะมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าระบบการทำงานของเครื่องกรองอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้กับผู้ใช้งานด้วยการกำจัดเชื้อโรค ฝุ่นละออง ควันและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ภายในห้อง โดยระบบการทำงานก็คือการดูดอากาศเข้าไปภายในตัวเครื่องและทำการดักจับฝุ่นและเชื้อไวรัสต่างๆหลังจากนั้นจะปล่อยอากาศที่มีความบริสุทธิ์ออกมา โดยจะมีการทำงานดังนี้
- แผ่นกรอง จะทำหน้าที่ในการกรองไวรัส ฝุ่นละออง ไรฝุ่น และเชื้อโรคต่างๆ
- ระบบกรองอากาศ จะทำหน้าที่ในการปล่อยประจุลบเพื่อจับประจุบวกไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายภายในห้อง
- ระบบกำจัดกลิ่น จะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ สารเคมี และก๊าซพิศต่างๆ
คุณต้องการเครื่องฟอกอากาศหรือไม่
การสังเกตว่าตนเองต้องการที่จะใช้งานเครื่องกรองอากาศหรือไม่ให้ดูปัญหาสุขภาพที่กำลังเป็นอยู่โดยถ้าหากใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางด้านหายใจ มีอาการของโรคภูมิแพ้ หรืออยู่ในพื้นที่ที่อากาศเป็นมลพิษก็จะมีความจำเป็นเป็นอย่างมากในการซื้อเครื่องกรองอากาศมาใช้ โดยเฉพาะสำหรับในห้องที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุก็จะจำเป็นต้องซื้อมาใช้งาน
ซึ่งไม่ได้สามารถใช้งานได้แค่ภายในบ้านเท่านั้นแต่สามารถใช้งานตามร้านอาหาร โรงพยาบาล อาคารสำนักงานต่างๆก็สามารถใช้งานได้อีกด้วย แต่ถ้าหากอยู่ในจังหวัดที่พบปัญหามลพิษทางอากาศบ่อยครั้งก็ควรที่จะมีเครื่องกรองอากาศติดในบ้านเพราะว่าการพบกับอากาศที่เป็นมลพิษจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวเลยทีเดียวควรที่จะซื้อมาไว้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้น
สิ่งที่ต้องมองหาเมื่อเลือกเครื่องฟอกอากาศ
คิดถึงขนาดห้อง
สำหรับการเลือกซื้อเรื่องของขนาดห้องก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญโดยควรเลือกเครื่องฟอกที่สามารถฟอกอากาศในพื้นที่ห้องได้ประมาณ 20-40% ต้องดูว่าซื้อไปใช้งานในพื้นที่ไหนเพื่อให้สามารถเลือกได้เหมาะสมและสามารถใช้งานกรองอากาศ ฝุ่นละออง เชื้อไวรัส และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถ้าหากจะใช้ในห้องขนาดใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องซื้อเครื่องกรองอากาศที่มีขนาดใหญ่เพียงพอต่อพื้นที่ภายในห้อง โดยถ้าหากห้องที่ต้องการจะใช้งานมีขนาด 20 ตารางเมตรเครื่องกรองอากาศที่ควรเลือกใช้งานก็ควรจะรองรับพื้นที่ขนาด 25-30 ตารางเมตรได้เพื่อให้สามารถใช้งานในการกรองอากาศและฝุ่นต่างๆได้อย่างเต็มที่
คุณภาพของไส้กรองอากาศ
คุณภาพของไส้กรองก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจซึ่งในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีในการกรองอากาศที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นโดยมีการใช้นวัตกรรมต่างๆเพื่อช่วยให้ตัวกรองพรีฟิลเตอร์มีคุณภาพสูงสามารถกรองฝุ่นละออง ไวรัส ที่มีขนาดเล็กได้ อีกทั้งยังมีคุณภาพในการขจัดสารก่อภูมิแพ้อีกด้วย ดังนั้นหลักๆในการดูคุณภาพของไส้กรองอากาศถ้าหากอยากให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานและมรคุณภาพสูงครอบคลุมทุกการใช้งานไส้กรองแบบ 3 ชั้นจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี
ระดับเสียงรบกวน
เรื่องของระดับเสียงในการทำงานของเครื่องกรองอากาศก็เป็นปัญหาที่ก่อนหน้านี้สร้างความรำคาญใจให้กับหลายๆท่าน ซึ่งสำหรับเครื่องกรองอากาศในปัจจุบันก็มีการใช้นวัตกรรมที่มีความทันสมัยและป้องกันการรบกวนขณะพักผ่อนให้ทุกท่าน โดยจะมีระดับเสียงของการทำงานที่ต่ำกว่า 50 เดซิเบลซึ่งจะไม่ส่งเสียงรบกวนในช่วงเวลาพักผ่อนอีกด้วย อีกทั้งยังมีโหมดสำหรับการนอนหลับที่นอกจากลดเสียงระบบการทำงานของตัวเครื่องยังมีการลดความสว่างแสงของตัวเครื่องอีกด้วย
เซ็นเซอร์คุณภาพอากาศ
เซ็นเซอร์การตรวจวัดคุณภาพอากาศก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ทุกท่านทราบว่าภายในห้องที่ทำเครื่องฟอกไปวางไว้มีคุณภาพอากาศอย่างไรบ้างเพื่อที่จะสามารถปรับการทำงานได้เหมาะสมกับการกรองอากาศ ซึ่งจะมีทั้งตั้งค่าแบบอัตโนมัติ ตั้งค่าแบบกำหนดเอง และตั้งค่าโหมดการนอนหลับซึ่งจะมีการใช้ระดับการกรองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถ้าหากมีเซ็นเซอร์ที่แสดงคุณภาพอากาศก็จะทำให้ปรับการตั้งค่าได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง
ตรวจสอบค่า CADR
ค่า CADR หรือที่เรียกว่า Clean Air Delivery Rate ซึ่งเป็นอัตราการส่งผ่านอากาศบริสุทธิ์โดยแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการฟอกอากาศภายในห้อง ดังนั้นการตรวจสอบค่า CADR ก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะสามารถเทียบได้ว่าจะเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ โดยสำหรับขนาดห้องที่มีพื้นที่ 26 ตารางเมตร ค่า CADR ที่แนะนำจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ถ้าเป็นห้องขนาด 40 ตารางเมตร ค่า CADR ที่แนะนำจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไปซึ่งควรที่จะทำการศึกษาขนาดห้องให้ดีก่อนที่จะเลือกค่า CADR ที่เหมาะสม
วางเครื่องฟอกอากาศไว้ที่ไหน
สำหรับเรื่องของตำแหน่งในการวางเครื่องฟอกอากาศหลายๆท่านมักจะมองข้ามเรื่องการจัดวางตำแหน่ง โดยอย่างแรกก็คือการเลือกวางในพื้นที่ที่มีความเรียบเพื่อให้มีความมั่นคงในการวาง อาทิเช่น บริเวณพื้น บริเวณโต๊ะ บริเวณตู้ ซึ่งควรที่จะตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของตัวห้องให้ได้มากที่สุดเพื่อให้สามารถกรองอากาศได้มากที่สุด โดยต้องทำความเข้าใจว่าระบบการทำงานของเครื่องฟอกจะใช้การดูดอากาศจากด้านหน้าและด้านข้างของตัวเครื่องและทำการปล่อยอากาศออกทางด้านบนของตัวเครื่อง
ดังนั้นจึงไม่ควรวางในจุดที่มีสิ่งของวางกรีดขวางเอาไว้เพราะจะทำให้ดูดอากาศมากรองได้ไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังควรหันไปทางตำแหน่งที่ท่านนั่งอยู่เพื่อให้ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ นอกจากนี้เรื่องของวางให้ห่างจากผนังห้องและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆประมาณ 15 เซนติเมตรก็เป็นระยะห่างที่เหมาะสม และไม่ควรที่จะวางในห้องที่มีอุณหภูมิมากเกินไปหรือน้อยเกินไปเพราะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องฟอก
เปลี่ยนไส้กรองบ่อยแค่ไหน
โดยปกติแล้วไส้กรองอากาศจะมีอายุการใช้งานอยู่ในช่วง 4-5 ปี ซึ่งในปัจจุบันเครื่องกรองอากาศที่มีการผลิตออกมาใหม่จะมีระบบที่สามารถตรวจสอบคุณภาพของแผ่นกรองได้ว่าจะประสิทธิภาพในการใช้งานเหลืออยู่ที่เปอร์เซ็น ซึ่งถ้าหากใช้งานอย่างหนักตลอดทุกช่วงเวลาและอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษทางอากาศเยอะก็จะสามารถใช้งานได้ประมาณ 1-2 ปี ดังนั้นถ้าหากครบช่วงเวลา 1 ปีเป็นต้นไปก็ควรที่จะตรวจเช็คประสิทธิภาพในการกรองอากาศและทำการเปลี่ยนแล้วเพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างต่อเนื่องเป็นอย่างดี
คำถามและคำตอบ
เครื่องฟอกอากาศช่วยเรื่อง COVID-19 ได้หรือไม่?
สำหรับเครื่องฟอกอากาศจะต้องดูที่แผ่นกรองที่ใช้งานซึ่งถ้าหากเป็นแผ่นกรองที่สามารถกรองอนุภาคขนาด 0.003 ไมครอนได้ก็จะมีคุณสมบัติที่สามารถกรองเชื้อไวรัสต่างๆได้ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่ทุกรุ่นที่สามารถใช้งานสำหรับการแก้ปัญหาเรื่องเชื้อไวรัส COVID 19 ดังนั้นจึงควรเริ่มที่ตัวผู้ใช้งานอาบน้ำ ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการออกไปพบปะผู้คนและใช้เครื่องฟอกอากาศเป็นตัวช่วยในการป้องกัน โดยให้เลือกเครื่องกรองที่มีแผนกรอง HEPA , แผ่นกรองระดับ Hyper HEPA ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ละเอียดมีคุณสมบัติในการดักจับอนุภาคฝุ่นละอองและเชื้อไวรัสต่างๆได้เป็นอย่างดี
เครื่องฟอกอากาศช่วยเรื่องควันไฟป่าได้หรือไม่?
เครื่องฟอกนอกจากที่จะมีคุณภาพสมบัติในการกรองอากาศ กรองฝุ่นละออง กรองเชื้อไวรัส กรองแบคทีเรียจ่างๆแล้วยังมีคุณสมบัติในการกรองควันต่างๆได้อีกด้วยซึ่งจะดักจับควันต่างๆได้เป็นอย่างดีแต่จะไม่ใช่ทุกรุ่นที่สามารถทำได้ ดังนั้นควรเลือกซื้อเครื่องกรองที่ใช้แผ่นกรอง HEPA ซึ่งจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.03 ไมครอนได้ ดังนั้นถ้าหากต้องการเครื่องฟอกที่กรองควันไฟได้ก็จำเป็นต้องดูคุณสมบัติของตัวเครื่องกรองด้วยแต่มีรุ่นที่สามารถช่วยเรื่องควันไฟป่าได้