หลายคนอาจจะมีคำถามว่าแอร์ยี่ห้อไหนดีที่เหมาะกับการใช้งานของตัวเอง เอาจริง ๆ เราอาจจะตอบไม่ได้ 100% เพราะในการเลือกซื้อแอร์นั้นมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วยหลายอย่างเลยค่ะ เป็นต้นว่า ขนาดของห้องที่ต้องการติดตั้ง จำนวนผู้อยู่อาศัย ไปจนถึงอายุของบ้านหรือห้องนั้นเลยล่ะค่ะ นั่นก็เพราะว่าแอร์มีระบบการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นใครที่กำลังมองหาว่าจะซื้อเครื่องปรับอากาศสักตัวจึงค่อนข้างต้องหาข้อมูลประกอบเยอะมาก
ดังนั้นในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมเอาวิธีในการเลือกซื้อแอร์แบบไหนดี มาฝากกัน ซึ่งยังมาพร้อมกับการแนะนำ แอร์รุ่นต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นแอร์สำหรับห้องขนาดเล็ก แอร์สำหรับห้องทำงาน หรือแอร์ประหยัดพลังงาน เพื่อให้คุณได้ตัดสินใจเลือกรุ่นที่เหมาะสม ตรงใจ และยังคุ้มค่าคุ้มราคาอีกด้วย
จัด อันดับ ยี่ห้อ แอร์ 2024
9 เครื่องปรับอากาศ
1. โดยรวมดีที่สุด: Mitsubishi Mr Slim Happy Lazada/Shopee
2. สำหรับห้องขนาดเล็กที่ดีที่สุด: Daikin FTKQ WV2S Lazada/Shopee
3. ราคาประหยัดสำหรับห้องขนาดเล็ก: TCL XAL09 Lazada/Shopee
4. สำหรับห้องขนาดใหญ่: MITSUBISHI SRK24YXS-W1 Lazada/Shopee
5. ราคาประหยัดสำหรับห้องขนาดใหญ่: Hisense T Series Lazada/Shopee
ุ6. สำหรับการนอนหลับที่ดีที่สุด: SAMSUNG Windfree Plus Lazada/Shopee
7. ดีที่สุดสำหรับห้องทำงาน: CENTRAL AIR IVJS Lazada/Shopee
8. ดีที่สุดพร้อม WIFI: TCL PRO19 Lazada/Shopee
9. ความเย็นคงที่ที่ดีที่สุด: MITSUTA UNCB Lazada/Shopee
- เครื่องฟอกอากาศ ที่เหมาะสำหรับคุณและการใช้งาน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร ที่เราได้ช่วยคัดสรร เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่น่าซื้อในปีนี้
เครื่องปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนดีปี 2024
1. Mitsubishi – Mr Slim Happy (12,283 BTU)
เครื่องปรับอากาศ โดยรวมดีที่สุด
- มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 9,000 – 22,000 BTU
- ระบบ Inverter ประหยัดพลังงานมากขึ้นและช่วยให้ห้องเย็นสบายแม่นยำ
- มีระบบปรับความเย็นตามความรู้สึกผู้ใช้งานหรือ ” I FEEL ” Control
- สามารถตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องได้เองผ่านโหมด Error Code
- มีการเคลือบสารป้องกันฝุ่นและละอองที่ตัวเครื่อง
- แผ่นกรองอากาศ Nano Platinum Filter ป้องกันฝุ่นขนาดเล็ก และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ตั้งเวลาเปิด – ปิด ล่วงหน้าได้ 24 ชั่วโมง
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะใช้สารทำความเย็น R23
- ตัวครีมเข้มข้นล้างออกค่อนข้างยาก
มาเริ่มกันที่เครื่องปรับอากาศตัวดังจาก Mitsubishi ที่ใคร ๆ ก็ต่างจำชื่อกันได้ติดหูอย่าง Mitsubishi- Mr Slim Happy ซึ่งตัวที่เรานำมาแนะนำนี้มีขนาด BTU ให้เลือกตั้งแต่ 9,000 – 22,000 BTU เลยทีเดียวค่ะ และสำหรับจุดเด่นของแอร์รุ่นนี้ก็เรียกได้ว่าล้ำหน้าเอกมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการตั้งเวลาเปิด – ปิดที่สามารถกำหนดได้ล่วงหน้าถึง 24 ชั่วโมง และยังมีระบบ I Feel ที่ช่วยให้เครื่องปรับอากาศจับความรู้สึกและอุณหภูมิของร่างกาย
แล้วปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศตามอีกด้วย และสำหรับใครที่เป็นแม่บ้านหรือคุณผู้หญิง ก็ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องแล้วซ่อมแซมไม่ตรงจุดอีกต่อไป เพราะเขามีโหมด Error Code ที่จะช่วยบอกได้ว่าเครื่องปรับอากาศของเรามีความผิดปกติตรงไหนให้ด้วยค่ะ นอกจากนี้รุ่นนี้ก็ยังคงเย็นเร็ว ฉ่ำสบายเพราะเป็นระบบ Inverter แถมยังประหยัดพลังงานได้เยอะและสายรักษ์โลกยังแฮปปี้ได้อีก เพราะเขาเลือกใช้สารทำความเย็น R23 ที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศด้วยค่ะ
2. Daikin – FTKQWV2S
เครื่องปรับอากาศที่ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดเล็กที่ดีที่สุด
- มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 9,000 – 24,000 BTU
- แผงวงจร Inverter ประหยัดพลังงานมากขึ้นและช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น
- แผงวงจรทำจากลวดทองแดง ทนทานพิเศษ ทำงานต่อได้แม้ไฟตกหรือมีไฟกระชาก
- ดีไซน์คอยล์ร้อนให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม 33% เหมาะกับการติดตั้งในพื้นที่จำกัด
- มีโหมดไล่ความชื้น และระบายกลิ่นไม่พึงประสงค์
- มีแผ่นกรองฝุ่นขนาดเล็ก ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ได้
- ออกแบบท่อให้มีขนาดเล็กกว่า 40 เซนติเมตร ป้องกันปัญหาจิ้งจกเข้าไปภายในเครื่อง
- ไม่เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่กว้าง เพราะตัวคอมเพรสเซอร์ตัวเล็ก
สำหรับใครที่วางแผนจะซื้อแอร์มาติดตั้งที่คอนโด หรือห้องนอนที่มีขนาดไม่กว้างมากนัก แต่ยังไม่รู้ว่าละเลือกแอร์ยี่ห้อไหนดี Daikin รุ่น FTKQ WV2S ปี 2022 ตัวนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมากค่ะ เพราะออกแบบตัวคอยล์ร้อนให้มีขนาดเล็กลง 33% และยังทำตัวท่อระบบแอร์ให้มีขนาดเล็กด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นจะลดปัญหาจิ้งจกหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ เข้าไปทำความเสียหายในตัวเครื่องได้อย่างดีเลยค่ะ ไม่เพียงเท่านั้น
เพราะในส่วนของแผงวงจรยังเป็นระบบ Invertor ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพและเย็นเร็วขึ้น ไม่ต้องรอจนหงุดหงิดใจ และที่เหมาะสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองมาก ๆ ก็คือมีแผ่นกรองสำหรับกรองฝุ่นอนุภาคขนาดเล็ก ฝุ่น PM 2.5 และยังช่วยกำจัดกลิ่นอับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทั้งเครื่องปรับอากาศและเครื่องกรอกอากาศในตัว ใครที่เป็นภูมิแพ้อากาศไม่ควรพลาดเลยค่ะ
3. TCL – TAC-XAL09 (9000 BTU)
เครื่องปรับอากาศประหยัดที่ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดเล็ก
- ระบบ Smart Inverter ประหยัดพลังงานได้มากถึง 60%
- เย็นเร็วขึ้น หลังเปิดเครื่องเพียง 30 วินาที
- คงความเย็นไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้อุณหภูมิจะมากถึง 60 องศาเซลเซียส
- ระบบ Filter Clean Reminder ช่วยเตือนให้ทำความสะอาดไส้กรอง
- มีแผ่นกรองอากาศในตัว
- ท่อน้ำยาแอร์ผลิตจากทองแดง ทนทานและเป็นสนิม
- สารทำความเย็น R32 ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
- เครื่องทำงานเงียบ
- ไม่เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่กว้าง เพราะตัวคอมเพรสเซอร์ตัวเล็ก
ห้องขนาดเล็กอย่างห้องนอนหรือห้องทำงานส่วนตัว มักจะมีขนาดไม่เกิน 15 ตารางเมตร ซึ่งเหมาะกับเครื่องปรับอากาศที่ไม่จำเป็นต้องมี BTU สูง ๆ ขนาดประมาณ 9,000 BTU ก็ถือว่าสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังไม่สูญเสียพลังงานมากและไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงโดยใช่เหตุอีกด้วยค่ะ โดยรุ่นที่เราขอแนะนำนี้ เป็นแอร์ TCL รุ่น TAC-XAL09 ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศระบบ Smart Inverter ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าเดิม 60% มาพร้อมกับโหมด Fast Cooling ที่เย็นอย่างทันใจ
เพียงเปิดเครื่องเริ่มทำงาน อุณหภูมิจะลดลงมาตามที่เราเซตไว้ภายในเวลาเพียง 30 วินาที ตัดปัญหาที่ต้องเปิดแอร์ทิ้งไว้ก่อน นอกจากนี้รุ่นนี้ยังคงความเย็นไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้อุณหภูมิภายนอกจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม และยังเหมาะสำหรับคนที่มีอากาศแพ้อากาศบ่อย ๆ เพราะมีแผ่นกรองอากาศมาให้ในตัวอีกด้วยค่ะ
4. MITSUBISHI – SRK24YXS-W1 (24,056 BTU)
เครื่องปรับอากาศ สำหรับห้องขนาดใหญ่ที่ดีที่สุด
- มีโหมดประหยัดพลังงาน Economy Mode
- ปรับความเร็วของพัดลมได้ 5 ระดับ
- กระจายแรงลมได้อย่างทั่วถึง ไกลกว่า 17 เมตร ด้วยโหมด Jet Flow
- ใบพัดแนวตั้ง 6 รูปแบบ และแนวนอน 8 รูปแบบ ปรับรูปแบบแรงลมได้แบบ 3D Auto
- เย็นเร็วภายในเวลา 15 นาที
- มีแผ่นกรองฝุ่นขนาดเล็กและ PM 2.5
- ช่วยให้อากาศสะอาดและปราศจากเชื้อโรค เพราะมีการเคลือบสารต่อต้านการเกิดเชื้อรา
- แรงลมเย็นสบายคล้ายอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยการปล่อยประจุลบตลอดเวลาที่เครื่องทำงาน
- มีโหมดทำความสะอาดตัวเอง
- โหมด Child Lock ป้องกันเด็ก ๆ เผลอไปกด
- ฝาครอบถอดออกได้ ทำความสะอาดได้เองง่าย ๆ
- ตั้งเวลาเปิด ปิด ล่วงหน้าได้ 60 นาที
- คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่และมี BTU สูง สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่า
- ไม่รองรับการสั่งงานผ่าน Wifi
หลังจากได้รู้จักแอร์แบบไหนดี ที่เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็กไปแล้ว ในส่วนนี้เราจะพามารู้จักกับแอร์ที่เหมาะกับการใช้งานในห้องขนาดใหญ่กันบ้างคะ โดยแอร์ที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นยี่ห้อ MITSUBISHI รุ่น HEAVY DUTY – INVERTER ที่มีขนาด 23,021 BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ระหว่าง 32 – 40 ตารางเมตร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องโถง ห้องรับแขก หรือห้องทำงานขนาดกลางนั่นเองค่ะ รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีจัดเต็มไม่ว่าจะเป็นระบบการทำงานแบบ Economy Mode ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
และยังมีการกระจายแรงลมได้ทุกทิศทางเป็นระบบ 3D Auto ที่สามารถปรับแรงลมได้ 5 ระดับ แถมยังเย็นไกลถึง 17 เมตรทีเดียว และสำหรับใครที่กังวลว่าแอร์ตัวใหญ่จะทำความเย็นได้ช้าหรือเปล่า ต้องบอกเลยนะคะว่ารุ่นนี้มีโหมด High Power Operation ที่ทำความเย็นได้ภายใน 15 นาที แถมมีแผ่นกรองฝุ่นขนาดเล็กและ PM2.5 ได้ด้วย นอกจากนี้ใครที่มีเด็ก ๆ ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลว่าเด็ก ๆ จะซนไปปรับแอร์ เพราะมีโหมด Child Lock อีกด้วยค่ะ
5. Hisense – T Series (18,500 BTU)
เครื่องปรับอากาศราคาประหยัดที่ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดใหญ่
- มีเทคโนโลยี QSD ช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำความเย็นได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นทั่วไป 50%
- มีโหมดทำความเย็นที่เรียกว่า Super Mode ซึ่งช่วยให้อากาศเย็นกว่าที่เคย รู้สึกสบายตัวตลอดเวลา
- ระบบอินเวอร์เตอร์ช่วยให้ประหยัดพลังงาน
- คอยล์ทองแดงป้องกันการกัดกร่อน ใช้งานได้ยาวนาน ทนทาน
- มีโหมดทำความสะอาดตัวเอง และป้องกันการเกิดเชื้อรา
- มีแผ่นกรองอากาศแบบ 4 in 1 ที่สามารถกันฝุ่นขนาดเล็ก เชื้อแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์
- เหมาะกับการใช้งานในห้องขนาดใหญ่ เนื่องจากแรงลมไปได้ไกลถึง 18 เมตร
- มีโหมด I Feel Sensor ติดตามอุณหภูมิ ทำให้รู้สึกเย็นสบายตลอดเวลา
- ป้องกันสัตว์และแมลงเข้าไปในกล่องไฟฟ้าจนเกิดความเสียหาย ด้วยการปิดผนึกอย่างสนิท
- คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ กินไฟมากกว่า จึงเหมาะกับห้องโถงขนาดใหญ่
แน่นอนว่าสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูง เพราะจะทำให้แรงลมนั้นกระจายได้ทั่วถึง ทั้งยังไม่ทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไปอีกด้วยค่ะ แต่ในการเลือกซื้อนั้นหลายคนอาจจะมองหาแอร์ยี่ห้อไหนดี ที่จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด เพราะเราต่างรู้ดีว่ายิ่งแอร์ที่มี BTU สูง คอมเพรสเซอร์ก็จะมีขนาดใหญ่และกินไฟมากกว่า ดังนั้นเราจึงขอแนะนำเป็น Hisense รุ่น T Series-18500 BTU ตัวนี้
ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี QSD ช่วยให้อุณหภูมิห้องเย็นเร็วขึ้นกว่าแอร์ทั่วไปถึง 50% โหมดเซนเซอร์ติดตามตัว I Feel คุณจึงรู้สึกเย็นสบายตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของห้องก็ตาม ทั้งยังมีแผ่นกรอง 4 ประเภทที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ได้ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน แถมชิ้นส่วนอุปกรณ์ยังเป็นวัสดุคุณภาพดี แข็งแรง ตัวกล่องไฟฟ้าถูกปิดผนึกอย่างดี ป้องกันช่วยให้แอร์มีอายุการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้นค่ะ
6. SAMSUNG – Windfree Plus AR10BYHCMWKNST
เครื่องปรับอากาศ สำหรับการนอนหลับที่ดีที่สุด
- เย็นอย่างทั่วถึง ควบคุมแรงลมได้ 4 ทิศทาง ทั้งขึ้น ลง ซ้าย ขวา
- ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะใช้สารทำความเย็น R32 ที่ไม่ไปทำลายชั้นโอโซน
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า 480 ชั่วโมง
- ชั้นกรองเคลือบสารต้านแบคทีเรีย และถอดออกทำทำความสะอาดได้ง่าย
- ทำงานเงียบ
- มีโหมดทำความสะอาดตัวเอง ลดกลิ่นเหม็นอับและเชื้อรา เชื้อโรคก่อตัว
- ใช้ AI ในการช่วยทำความเย็น ปรับอุณหภูมิเองตามสภาพอากาศ
- มีโหมด WindFree Cooling ช่วยประหยัดพลังงานได้ 77% และเย็นสบายไม่หนาวเกินไป
- ไม่เหมาะกับการใช้งานในห้องขนาดใหญ่ เพราะมีขนาดเพียง 9,000 BTU
ถ้าคุณกำลังมองหาแอร์ยี่ห้อไหนดี ที่เหมาะกับการติดตั้งในห้องนอน เพื่อให้นอนหลับสบาย ไม่หนาวเกินไปและไม่ต้องหงุดหงิดเพราะแอร์ตัดกลางดึก แนะนำเป็น SAMSUNG Air Conditioner รุ่น Windfree™ Plus Model AR10BYHCMWKNST ตัวนี้เลยค่ะ เพราะมาพร้อมกับโหมดทำความเย็นเฉพาะรุ่นอย่าง WindFree Cooling ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายตลอดคืน นอนหลับได้สนิท เพราะเครื่องทำงานเงียบมาก ๆ
และยังช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าโหมดปกติถึง 77% แถมยังควบคุมการทำงานได้ทั้ง 4 ทิศทาง แรงลมจึงกระจายได้อย่างทั่วถึง ตัวเครื่องทำจากวัสดุคุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน ในส่วนของแผ่นกรองอากาศนอกจะช่วยกรองฝุ่นได้แล้วยังมีการเคลือบสารป้องกันแบคทีเรีย และสามารถกอดออกมาทำความสะอาดได้ง่าย นอกจากนี้ยังไม่ทำลายชั้นบรรยากาศโลกเพราะเครื่องปรับอากาศรุ่นนี้เลือกใช้สารทำความเย็น R32 นั่นเองค่ะ
7. CENTRAL AIR – IVJS25 INVERTER (25,400 BTU)
เครื่องปรับอากาศ ดีที่สุดสำหรับห้องทำงาน
- มีระบบ auto swing สามารถกระจายแรงลมได้ 4 ทิศทาง
- เป็นเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟเบอร์ 5
- ระบบทำความสะอาดอัตโนมัติ
- ใช้สารทำความเย็น R32 ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
- โหมดทำงานมีให้เลือกหลากหลาย เช่น Turbo Mode, Sleep Mode, Timer Mode และ Auto Restart
- ลดกลิ่นเหม็นอับและเชื้อโรค เนื่องจากมีแผ่นฟอกอากาศช่วยกำจัดกลิ่น
- แผงคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นทำจากทองแดง ทนทานใช้งานได้ยาวนาน
- คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ กินไฟมากกว่า จึงเหมาะกับห้องโถงขนาดใหญ่
ปกติแล้วเรามักใช้เวลาทำงานในห้องทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน และส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลากลางวัน ที่จะมีอุณหภูมิสูงกว่าเวลากลางคืน ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังมองหาแอร์แบบไหนดี ที่เหมาะในการติดตั้งในห้องทำงาน เราขอแนะนำเป็น CENTRAL AIR รุ่น IVJS25 INVERTER ซึ่งมาพร้อมกับขนาด 25,400 BTU นับว่าใช้งานได้ในห้องที่มีพื้นที่ขนาดกลางกว่า 40 ตารางเมตร เหมาะทั้งกับห้องที่โดนแสงแดดรำไรหรือโดนแดดจัดทั้งวัน
เพราะมีโหมดในการทำความเย็นให้เลือกอย่างหลากหลาย ทั้งยังเป็นระบบ INVERTER และประหยัดไฟเบอร์ 5 ช่วยลดค่าไฟได้มากแม้เปิดตลอดทั้งวัน ทั้งยังมีแรงลมแบบ Auto Swing ที่สามารถกระจายแรงลมได้ 4 ทิศทาง ทั่วถึงทั้งห้อง ตัววัสดุคอยล์ร้อยและคอยล์เย็นยังทำจากทองแดง ที่เคลือบด้วยสาร Golden Fin ที่จะช่วยให้อุปกรณ์ใช้งานได้นานมากขึ้นนั่นเองค่ะ
8. TCL – TAC-PRO19
เครื่องปรับอากาศที่ดีที่สุดพร้อม WIFI
- ระบบ AI Inverter ช่วยประหยัดพลังงานได้ 30 – 60%
- แรงลมเย็นแบบธรรมชาติ ไม่ปะทะตัวตรง ๆ
- สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน TCL Home เพื่อควบคุมการทำงานได้ ผ่านการใช้งาน IOT Wifi
- ถอดอุปกรณ์ออกมาล้างได้เอง
- เทคโนโลยี Nano Purify Filter & Nano Carbon Filter ช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับและเชื้อแบคทีเรีย
- ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะใช้สารทำความเย็น R32 ที่ไม่ไปทำลายชั้นโอโซน
- เย็นอย่างทั่วถึง กระจายแรงลมได้ 4 ทิศทาง
- ไม่มีข้อมูลการกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5
หลายคนที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน นอกจากต้องการคลายร้อนท่ามกลางอากาศที่อบอ้าวแล้ว ก็ยังต้องการความสะดวกสบายด้วยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นตัวเลือกของเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยี Wifi ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างยิ่งเลยค่ะ ซึ่งตัวที่เราขอแนะนำก็คือ TCL รุ่น T-Pro เพราะตัวนี้ที่มาพร้อมกับระบบ AL Inverter ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและค่าไฟได้มากถึง 30-60%
ทั้งยังใช้งานโดยการเชื่อมต่อกับ Wifi ผ่านแอปพลิเคชัน TLC Home ได้ด้วย เทคโนโลยีนี้จะสามารถทำการสั่งการควบคุมแอร์ได้ผ่านสมาร์ตโฟน ในระยะไกล นอกจากนี้ยังสามารถปรับแรงลมได้ถึง 4 ทิศทาง ทำให้แอร์เย็นทั่วถึงกันทั้งห้อง แต่ไม่หนาวยะเยือก เพราะแรงลมนั้นจะมีความละมุน เลียนแบบลมธรรมชาติไม่มาปะทะที่ตัวตรง ๆ ทั้งยังหายห่วงเรื่องความชื้นและเชื้อราได้เลย เพราะอุปกรณ์สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ง่าย ๆ ด้วยตนเองค่ะ
9. MITSUTA – UNCB (13,000 BTU)
เครื่องปรับอากาศ ความเย็นคงที่ที่ดีที่สุด
- แรงดันไฟฟ้าสูง 220V เท่าไฟบ้านขาเข้า
- ค่า SEER สูง 13.51 และเป็นรุ่นประหยัดไฟเบอร์ 5
- คอยล์ทำจากทองแดง
- เครื่องทำงานเงียบ
- กระจายแรงลมได้ทั่วถึง 4 ทิศทาง
- มีระบบฟอกอากาศในตัว
- ควบคุมการทำงานด้วยรีโมท
- มีตัวเลขแสดงอุณหภูมิ และแสง LED แสดงการทำงานแต่ละโหมด
- ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะใช้สารทำความเย็น R32 ที่ไม่ไปทำลายชั้นโอโซน
- ม่มีข้อมูลการกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5
- ขนาด BTU ไม่สูง ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่กว้าง หรือห้องขนาดใหญ่
สำหรับใครที่มองหาแอร์แบบไหนดี ที่สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ทุกห้องในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่นหรือแม้แต่ห้องครัว ซึ่งจะต้องมีขนาดระหว่าง 10 -15 ตารางเมตร (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการโดนแดด) เราขอแนะนำเป็น MITSUTA รุ่น UNCB-12-AX-13000 BTU ตัวนี้เลยค่ะ ซึ่งจุดเด่นของรุ่นี้อยู่ที่เป็นรุ่นประหยัดไฟเบอร์ 5 และยังมีค่า SEER สูงถึง 13.51 ซึ่งช่วยให้ค่าไฟลดลงไปได้อีกมาก ทั้งยังมีแรงดันไฟฟ้าที่เท่า ๆ กับไฟบ้าน
ทำให้เครื่องปรับอากาศสามารถทำงานได้ด้วยความเร็วคงที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องกระแสไฟที่เข้าไม่สม่ำเสมออีกด้วย มาพร้อมกับชิ้นส่วนคอยล์ที่ทำจากทองแดง ที่จะใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น และในเรื่องความเย็นก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะสามารถกระจายแรงลมได้ทั่วทิศทาง ทั้ง ซ้าย ขวา บน และล่าง และยังควบคุมการทำงานได้ผ่านรีโมท แถมยังมีระบบกรองอากาศในตัวมาให้ด้วยนะคะ
คำแนะนำการซื้อเครื่องปรับอากาศ
วิธีการเลือกเครื่องปรับอากาศ
เครื่องปรับอากาศหรือที่หลายคนเรียกกันสั้น ๆ ว่าแอร์นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มีเพียงชนิดแบบที่ติดผนังเท่านั้นค่ะ แต่ยังมีรูปแบบต่าง ๆ ให้ได้เลือกใช้งานกันตามความเหมาะสมของพื้นที่และความชื่นชอบของผู้ใช้งานด้วย และนอกจากนี้ก็ยังมีระบบการทำงานที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Inverter ซึ่งหลายคนชื่นชอบที่ช่วยประหยัดไฟได้มาก แต่เกณฑ์ในการเลือกซื้อนั้น ก็ต้องรู้รายละเอียดพอสมควร ซึ่งเราก็ได้รวบรวมและสรุปมาให้ตามด้านล่างนี้เลยค่ะ
เลือกจากประเภท
จากข้างต้นที่เราเกริ่นกันไปแล้วว่า แอร์นั้นมีหลายประเภทให้เลือก จนหลายคนเกิดคำถามว่าแล้วจะเลือกแอร์แบบไหนดี ที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง เรามีคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ
ติดผนัง
แอร์ติดผนัง เป็นประเภทของเครื่องปรับอากาศที่มีการใช้งานมากที่สุด ส่วนใหญ่นิยมใช้ในบ้านอย่างห้องนอน ห้องนั่งเล่น เนื่องจากสามารถกระจายแรงลมได้ทั่วถึงและยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยอยู่เสมอ และราคาค่อนข้างสมกับคุณภาพที่ได้ ซึ่งหากใครสนใจเลือกแอร์รุ่นนี้ ควรตรวจสอบขนาด BTU ให้เหมาะสมกับห้องที่ต้องการติดตั้ง ปกติแล้วจะมีให้เลือกตั้งแต่ 9,000 – 24,000 ค่ะ
ติดเพดาน
สำหรับแอร์ติดเพดาน เราอาจจะไม่คุ้นเคยมากนัก เพราะบ้านส่วนใหญ่ไม่นิยมนำมาติดตั้ง เพราะต้องฝังตัวแอร์เข้าไปที่เพดาน ทำให้เมื่อต้องการทำการซ่อมบำรุงหรือล้างแอร์นั้นทำได้ยุ่งยากค่ะ แต่แอร์ประเภทนี้กลับนิยมใช้กันในห้างสรรพสินค้า อาคารเรียนหรือสถานที่ราชการต่าง ๆ เนื่องจากไม่บดบังทัศนียภาพของห้องหรืออาคาร แต่ยังไม่เกะกะพื้นที่อีกด้วยค่ะ
แขวน
จริง ๆ แล้วแอร์แขวนนั้นก็มีลักษณะไม่ต่างกับแอร์ติดผนังเลยค่ะ เพียงแต่แบบแขวนนั้นจะติดตั้งใกล้กับพื้นมากกว่า ส่วนตัวคอยล์ร้อนหรือท่อแอร์ต่าง ๆ นั้นก็ยังต้องมีการติดตั้งเหมือนกับแอร์ติดผนังเลย ซึ่งการใช้งานแอร์แขวนนั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากหากเราวางไว้ในตำแหน่งมุมอับจะทำให้แรงลมกระจายไม่ทั่วถึงและยังเกะกะกว่าแอร์แบบติดผนังนั่นเองค่ะ
ตั้งพื้น
แอร์ตั้งพื้นหรือที่บางคนเรียกกันว่าแอร์ตู้ ลักษณะจะเป็นแอร์เคลื่อนที่ที่มีล้อ สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ เนื่องจากมีในส่วนของแอร์ คอมเพรสเซอร์ คอยล์ร้อนในตัวเลย เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความกว้างมาก ๆ อย่างสนามบินหรืออาคารเปิดค่ะ
เลือกแอร์จากระบบ Invertor ช่วยประหยัดพลังงาน
หากคุณไปเลือกซื้อแอร์ ไม่ว่าจะตามห้างร้านหรือแม้แต่ในร้านค้าออนไลน์ เชื่อว่าต้องได้ยินคำว่า Inverter กันอย่างแน่นอน ซึ่งระบบ Inverter นั้น เป็นระบบของเครื่องปรับอากาศที่ช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดพลังงานและค่าไฟได้มาก แม้จะมีราคาสูงกว่าระบบธรรมดา แต่หากใช้งานไปนาน ๆ รับรองว่าคุ้มค่ากว่าแน่นอนค่ะ
เลือกตามงบประมาณที่เหมาะสม
หนึ่งในข้อที่ไม่ควรลืมพิจารณาเลย ก็คือเรื่องงบประมาณค่ะ ซึ่งควรเลือกรุ่นที่สอดคล้องกับการใช้งานและงบประมาณที่ตั้งไว้ เพราะแม้บางรุ่นจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่น่าลองใช้หรือดึงดูดความสนใจ แต่ก็มักมาพร้อมกับราคาที่สูงกว่ารุ่นปกติเสมอ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากได้คุณสมบัตินั้นจริง ๆ ก็ควรพิจารณาด้วยว่าจะได้ใช้งานจริงหรือไม่และคุ้มค่ากับค่าใช้งานที่เพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า
บีทียู คืออะไร และ ต้องใช้กี่บีทียู?
ขนาด BTU | ห้องปกติ | ห้องที่โดนแดด |
---|---|---|
9,000 BTU | 9-14 ตารางเมตร | 9-13 ตารางเมตร |
12,000 BTU | 14-20 ตารางเมตร | 13-17 ตารางเมตร |
18,000 BTU | 20-28 ตารางเมตร | 17-25 ตารางเมตร |
21,000 BTU | 28-32 ตารางเมตร | 25-29 ตารางเมตร |
24,000 BTU | 32-36 ตารางเมตร | 29-33 ตารางเมตร |
30,000 BTU | 36-44 ตารางเมตร | 33-41 ตารางเมตร |
36,000 BTU | 44-59 ตารางเมตร | 41-56 ตารางเมตร |
42,000 BTU | 55-61 ตารางเมตร | 56-58 ตารางเมตร |
48,000 BTU | 61-76 ตารางเมตร | 58-73 ตารางเมตร |
เมื่อคุณกำลังมองหาแอร์แบบไหนดี เชื่อว่าจะต้องมีคำถามถึงเรื่อง BTU อย่างแน่นอน แล้ว BTU คืออะไรและเกี่ยวข้องกับการเลือกใช้แอร์อย่างไรนั้น เรามีคำตอบมาให้แล้ว ไปติดตามอ่านกันค่ะBTU คือหน่วยความสามารถในการไล่ความร้อนออกจากห้องหรือพื้นที่นั้น ๆ ได้ต่อ 1 ชั่วโมง เป็นหน่วยการวัดพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากลที่ได้นำมาใช้กับเครื่องปรับอากาศ
ย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่งมีหลักการง่าย ๆ เช่น แอร์ที่มีขนาด 9,000 BTU หมายความว่าแอร์ตัวนั้นสามารถไล่ความร้อนออกได้ 9,000 BTU/ 1 ชั่วโมง หรือหากจะให้กล่าวคือยิ่งมีขนาด BTU สูง ๆ ก็ยิ่งช่วยไล่ความร้อนออกได้มากนั่นเอง แต่ในการเลือก BTU แอร์นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้พิจารณาแค่ BTU สูงหรือต่ำเท่านั้นนะคะ เพราะต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ควบคู่ด้วยเสมอ
ขนาดห้อง
หลายคนคงเคยได้ยินคำถามว่า จะติดตั้งแอร์ในห้องนอนควรเลือก BTU เท่าไหร่ ? และหากเป็นช่างแอร์เขาก็จะต้องสอบถามเรากลับมาว่าแล้วห้องของเรามีขนาดเท่าไหร่ เพราะขนาดพื้นที่หรือห้องมีผลต่อขนาด BTU อย่างมากค่ะ ซึ่งปัจจุบัน BTU แอร์จะเริ่มที่ 5,000 BTU สามารถใช้งานได้กับห้องที่มีขนาดไม่เกิน 10 -15 ตารางเมตร เพราะหากห้องกว้างมากกว่านั้น เครื่องจะทำงานหนัก และจะพังไว แต่ก็ไม่ควรเลือก BTU ที่สูงเกินไป เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช้เหตุ ทั้งที่ความเย็นนั้นเท่าเดิมค่ะ
แสงแดด
อีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนอาจไม่รู้คือเรื่องแสงแดดที่ส่องห้องของเรา ซึ่งเรียกได้ว่ามีผลต่อการเลือก BTU ของแอร์ไม่ต่างกับขนาดห้องเลยค่ะ โดยปกติจะมีการแบ่งห้องที่โดนแสงแดดปกติหรือแสงแดดรำไร และห้องที่ต้องโดดแดดทั้งวัน ซึ่งห้องที่ต้องโดนแดดทั้งวันนั้นก็จะมีปริมาณความร้อนในห้องสูงกว่า จึงต้องเลือก BTU ที่สูงกว่าห้องทั่วไปที่มีขนาดเท่ากันนั่นเองค่ะ
อัตราการเข้าพักเฉลี่ย
อัตราการเข้าพักหรือจำนวนผู้ที่อยู่ในห้อง ก็มีผลต่อการเอก BTU เช่นกันค่ะ สังเกตง่าย ๆ ว่า ในขณะที่เราอยู่ในห้องนอนส่วนตัวที่เราอยู่คนเดียว เราจะรู้สึกเย็นสบาย แต่เมื่อเราไปเที่ยวต่างจังหวัดและต้องพักรวมกับเพื่อน อาจจะห้องละ 4 – 5 คน ทั้งที่แอร์มี BTU เท่ากับที่ห้องนอนของเราและขนาดห้องก็เท่า ๆ กันนั้น เราจะรู้สึกร้อนและอึดอัดมากกว่า ดังนั้นในการเลือกซื้อแอร์ก็ควรคำนึงถึงจำนวนผู้ที่จะอยู่ในห้องด้วยค่ะ
อายุของบ้านคุณ
ทำไมอายุของบ้านจึงมีผลต่อการเลือก BTU หลายคนคงมีคำถามนี้ใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งจริง ๆ แล้วหากพิจารณาในเรื่องโครงสร้าง บ้านที่มีอายุนาน โครงสร้างก็จะทรุดโทรม บางบ้านมีรอยร้าวหรือมีการผุพังของขอบหน้าต่างประตู ก็จะทำให้แอร์ไหลออกจากห้องได้ นอกจากนี้เรื่องของมวลผนังหรือสี รวมทั้งเชื้อราต่าง ๆ ก็ยังมีผลต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศด้วย ดังนั้นบ้านที่มีอายุมากแล้ว จึงอาจจะเลือกแอร์ที่มี BTU สูงขึ้นมากกว่าปกติค่ะ
ทำความเข้าใจคะแนนประสิทธิภาพพลังงาน
โดยปกติแล้วเราจะคุ้นเคยกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสามารถในการช่วยประหยัดพลังงานและค่าไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น ๆ แต่สำหรับแอร์แล้วไม่ได้มีแค่เครื่องหมายประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้นค่ะ เพราะยังมีค่าที่เรียกว่า Energy Effective Ratio หรือ EER ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของพลังงานของเครื่องปรับอากาศ โดยจะแบ่งเป็น
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่ต้องระวัง
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ก็ยังมีปัจจัยยิบย่อยที่แต่ละแบรนด์แต่ละรุ่นได้นำมาเป็นคุณสมบัติเพิ่มเติม ที่นับว่าเหมาะกับคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ความชอบแตกต่างกัน เช่น
การตั้งค่าประหยัดพลังงาน
เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่คนส่วนใหญ่มองหาเลยค่ะ เพราะเราต่างรู้ดีว่าแอร์หนึ่งตัวนั้นกินไฟค่อนข้างมาก ดังนั้นหลายรุ่นจึงนำเอาเรื่องขอการประหยัดพลังงานมาเป็นตัวชูเพื่อให้สินค้าน่าสนใจ หากใครที่ไม่มั่นใจว่าจะประหยัดจริงอย่างที่แบรนด์นั้น ๆ โฆษณาหรือไม่ ก็สามารถนำทริควิธีการเลือกที่เราแนะนำไฟข้างต้น มาช่วยพิจารณาได้เลยค่ะ
การตั้งค่าตัวจับเวลาที่ตั้งโปรแกรมได้
สำหรับโปรแกรมการตั้งเวลาล่วงหน้า เรียกได้ว่าเป็นคุณสมบัติยอดฮิตที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ เพราะแอร์หลายรุ่น มักทำความเย็นได้ช้า เมื่อเราเปิดเครื่องให้ทำงานแล้วก็จะต้องรอให้ห้องเย็นจึงสามารถเข้าไปพักได้ หรือบางรุ่นที่มีโหมดทำความเย็นอย่างรวดเร็วนั้นก็มักจะกินไปมากตามไปด้วย ดังนั้นการเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีโหมดตั้งเวลาล่วงหน้าก็จะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถเข้าใช้งานห้องนั้น ๆ ได้เลยโดยไม่ต้องรอให้แอร์เย็น เป็นการไม่เสียเวลาและไม่สิ้นเปลืองพลังงานด้วยค่ะ
เปิดใช้งาน WiFi
เครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ๆ มักนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้หลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือสามารถสั่งการได้ผ่าน Wifi ค่ะ ซึ่งคุณสมบัตินี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีความสะดวก สบายมากขึ้น ทั้งยังตัดปัญหาการหารีโมทแอร์ไม่เจอได้อย่างดี โดยรุ่นที่สามารถสั่งงานได้ผ่าน Wifi จะใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันของแอร์รุ่นนั้น ๆ เลย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่จริง ๆ ค่ะ
คำถามและคำตอบ
ระบบปรับอากาศควรมีอายุการใช้งานกี่ปี?
เชื่อว่าหลายคนที่กำลังลังเลว่าจะซื้อแอร์ดีไหม และควรซื้อแอร์แบบไหนดี จะต้องมีคิดกันบ้างว่าหากเราติดตั้งแอร์ไปแล้วจะคุ้มค่าหรือเปล่า ซึ่งในข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยค่ะ เพราะบางบ้านมีการใช้งานแอร์ทุกวันก็อาจจะทำให้แอร์ทำงานหนัก และอาจจะมีอายุการใช้งานสั้นกว่าแอร์ที่ไม่ได้ใช้บ่อยทุกวัน ทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 10 ปีขึ้นไป แต่สำหรับแอร์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อย ๆ และมีอายุมากแล้ว ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้งานได้ดีเหมือนใหม่นะคะ เพราะหากนาน ๆ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่อัปเดตกันเสมอ รุ่นที่เราซื้อติดตั้งไว้เมื่อ 4-5 ปี ที่แล้วอาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งานหรือเมื่อเปิดอีกทีอาจจะไม่เย็นแล้วก็ได้ แบบนี้จึงต้องตรวจสอบแอร์อยู่เสมอ และไม่ควรปล่อยทิ้งร้างนานเกินไปค่ะ
การติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
เครื่องปรับอากาศที่นิยมติดตั้งกันที่บ้านส่วนใหญ่เป็นประเภทแอร์ติดผนัง ซึ่งจะมีส่วนประกอบ 2 ส่วนใหญ่ ๆ ด้วยกัน ได้แก่ส่วนที่เป็นคอยล์เย็นหรือส่วนที่อยู่ในบ้านของเรา และส่วนที่เป็นคอยล์ร้อนที่อยู่ด้านนอกบ้านนั่นเองค่ะ ซึ่งในการที่จะซื้อแอร์นั้นแน่นอนว่าต้องมีค่าติดตั้งแอร์พ่วงมาด้วย ราคาในการติดตั้งแอร์จะขึ้นอยู่กับห้างร้านแต่ละที่ โดยจะมีราคาประมาณ 1,000 – 3,000 บาท หรือบางร้านก็อาจจะเหมารวมไปกับค่าตัวของแอร์ไปแล้ว แนะนำว่าควรเลือกให้ร้านที่เราซื้อติดตั้งให้พร้อมกันไปเลย เพราะอาจจะสามารถต่อรองราคาส่วนลดได้ และช่างยังมีความชำนาญในการติดตั้งมากกว่าช่างแอร์ทั่วไป นอกจากนี้หากบ้านใครที่ต้องรื้อแอร์เก่าออกด้วยก็จะมีค่ารื้อแอร์ ซึ่งจะอยู่ที่ 500 – 1,000 บาท ค่ะ